จำเป็นแค่ไหนที่จะต้องมีประกันชีวิตและประกันสุขภาพ

ปัจจุบันยังมีคำถามว่า “จำเป็นแค่ไหนที่จะต้องมีประกันชีวิตและประกันสุขภาพ”  ในความคิดเห็นของผู้เขียนให้ความสำคัญกับการทำทุนประกันชีวิตและประกันสุขภาพเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะ เจ้าของธุรกิจ ซึ่งไม่มีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล และประกันสังคม ดังนั้น สิ่งที่ต้องเตรียมคือแผนประกันชีวิต ที่ครอบคลุมภาระ  ที่ตนเองรับผิดชอบ  และประกันสุขภาพ ที่ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาล แบบระยะยาว ยาวถึงอายุ 85 ปี หรือ 99 ปี (ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแบบประกัน)

ประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณา คือ ถ้ามีเงินแต่สุขภาพไม่ดี หากสมัครทำประกัน บริษัทประกันจะคุ้มครองแบบมีเงื่อนไข  คือ  “ไม่คุ้มครองโรคที่เป็นมาก่อนทำประกัน” หรืออาจ “เพิ่มเบี้ยประกันเนื่องจากสุขภาพที่มีประวัติการเป็นโรคถือว่าต่ำกว่ามาตรฐานของคนทั่วไป ดังนั้น เบี้ยประกันจะถูกปรับเพิ่ม ดังนั้น การวางแผนการทำประกันชีวิตและประกันสุขภาพ ควรทำตอนที่มีเงินและมีสุขภาพดี

    หลายคนมองว่าถ้าไม่ป่วยก็ไม่คุ้มค่า เสียดายเบี้ยประกันที่จ่ายทิ้งไป   แต่ในหลักการวางแผนโอนย้าย ความเสี่ยง การจัดการความเสี่ยงเป็นเรื่องสำคัญ ของการวางแผนชีวิต  อย่าลืมว่า “เบี้ยประกันส่วนน้อยไม่ได้ทำให้จนลง แต่ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลมีโอกาสทำให้เราจนลง และอนาคตคนในครอบครัวจบลงได้”

โลกใบนี้มีความผันผวนและจำเป็นต้องปรับตัวและเตรียมความพร้อมรับมือหากเกิดความผันผวนรุนแรงและไม่สามารถควบคุมได้ก็ต้องโอนความเสี่ยง เช่น มีประกันชีวิตและประกันสุขภาพในช่วงการแพร่ระบาด COVID-19

      ถึงแม้ว่านวัตกรรมทางการแพทย์เจริญก้าวหน้า  แพทย์ดีมีความสามารถ สามารถรักษาโรค โรคร้ายรักษาหายได้  แต่ก็แลกมาด้วยค่าใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลที่สูง  ทางออกที่น่าสนใจเพื่อลดค่าใช้จ่าย คือ การทำประกันสุขภาพ ที่สำคัญควรทำประกันตั้งแต่สุขภาพแข็งแรง เพราะหากทำเมื่อเจ็บป่วยก็จะมีเงื่อนไขจากบริษัทประกันเยอะมากขึ้น และเบี้ยประกันจะสูงตามไปด้วย

      โดยทั่วไป ช่วงชีวิตที่พบกับความท้าทายมากที่สุด มักจะอยู่ในช่วงอายุ 35 – 45 ปี   เพราะเป็นช่วงที่กำลังสร้างฐานะ และเป็นช่วงสะสมทรัพย์สินและความมั่งคั่ง   แต่ในขณะเดียวกันก็มีภาระทางการเงินที่ต้องรับผิดชอบรอบด้าน  ซึ่งความเสี่ยงที่น่ากลัวที่สุดสำหรับวัยนี้ คือ ปรากฏการณ์ “แก่ก่อนรวย” “ป่วยก่อนใช้” เนื่องจากอาจเจอภาระค่าใช้จ่ายรอบด้าน ทั้งค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูครอบครัว อีกทั้งภาระหนี้สินที่ยังต้องผ่อน รวมถึงความจำเป็นที่ต้องเก็บเงินตามเป้าหมายส่วนตัว  ในขณะที่การงานและรายได้เพิ่งเริ่มมั่นคงและเติบโต  ทำให้มีความเสี่ยงสูงที่อาจจะมีเงิน      ไม่พอใช้จ่าย หรือมีเงินเก็บไม่พอกับเรื่องที่จำเป็นต้องใช้ หากไม่ได้วางแผนเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า และหากต้องเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรงเรื้อรัง หรือเกิดอุบัติเหตุรุนแรง ต้องใช้เงินจำนวนมาก ในการรักษาพยาบาล ช่วงเจ็บป่วยก็ไม่สามารถทำงานได้เหมือนเดิม

       ดังนั้น เพื่อความมั่นคงของชีวิต  เราจึงควรเตรียมตัวรับมือและมองหาวิธีการจัดการกับภาระทางการเงินที่พร้อมจะให้แบกภาระเพิ่มมากขึ้น ด้วย 4 แนวทางแนะนำ ดังนี้

1บริหารและควบคุมค่าใช้จ่ายให้สอดคล้องกับรายได้และฐานะ        ต้องมีวินัยในการใช้จ่าย  โดยใช้วิธีทำงบการเงิน หรือทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย เพื่อควบคุมการใช้จ่ายของตัวเองให้อยู่ในงบประมาณ        ที่เหมาะสม  เพื่อที่จะสามารถรับผิดชอบภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้อย่างไม่มีปัญหา

2วางแผนเก็บออมเงินสำหรับเป็นเงินเกษียณของตัวเอง        ใช้เครื่องมือการออมหรือการลงทุนที่ช่วยสร้างวินัยการออม เช่น ประกันชีวิตแบบบำนาญ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และ RMF ที่มีเงื่อนไขบังคับให้เราต้องออมเงินหรือลงทุนในระยะยาว โดยต้องออมหรือลงทุนอย่างสม่ำเสมอทุกปี และไม่สามารถถอนเงินออกมาใช้ได้ระหว่างทาง ต้องรอจนกว่าจะเกษียณจึงจะได้รับเงินที่ออมหรือลงทุนไว้ ควรมีแบบประกันที่มีความคุ้มครองชีวิตสูง เพื่อเพียงพอกับภาระต่าง ๆ 

3วางแผนค่าใช้จ่ายของลูกให้ครอบคลุมจนสำเร็จการศึกษา             โดยการสำรวจค่าเล่าเรียน และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของสถาบันการศึกษาที่วางแผนจะส่งบุตรไปเรียน ตั้งแต่ปัจจุบัน จนจบระดับชั้นที่ต้องการ ว่ารวมแล้วเป็นจำนวนเงินทั้งหมดเท่าไหร่ โดยสำหรับค่าเล่าเรียนในระดับชั้นสูง ๆ ที่ยังมีเวลาอีกหลายปีกว่าจะถึงเวลาต้องจ่าย อาจจะใช้วิธีการลงทุน หรือออมเงินในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อช่วยเตรียมเงินให้เพียงพอกับค่าเล่าเรียนในอนาคตได้

ในส่วนนี้ เรานำยอดรวมค่าใช้จ่ายทางการศึกษาที่คำนวณได้ นับรวมเป็นส่วนหนึ่งของทุนประกันชีวิต ที่หัวหน้าครอบครัวควรมีหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นกับหัวหน้าครอบครัว ทุนประกันนี้จะใช้ส่งเสียค่าเล่าเรียนบุตรได้อย่างเพียงพอ จนจบการศึกษา

4วางแผนทำประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ประกันโรคร้ายแรง และประกันอุบัติเหตุ เพื่อโอนย้ายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ควรทำประกันชีวิตให้มีความคุ้มครองหรือจำนวนเงินเอาประกันภัยเพียงพอกับ “ภาระทางการเงิน” ในชีวิตทั้งหมดที่เรามีอยู่ ได้แก่ “ภาระหนี้สินคงค้าง ค่าเลี้ยงดูผู้อยู่ในอุปการะจนกว่าจะเลี้ยงดูตัวเองได้ (รวมไปถึงค่าเล่าเรียน และค่าประกันชีวิตบุตร ตั้งแต่ปัจจุบันจนเรียนจบ) + เงินที่ต้องการทิ้งไว้ในช่วงปรับตัว  มูลค่าเงินเก็บทั้งหมดที่เรามีอยู่ ”ยกเว้นบ้าน หรือรถ (เพราะคนในครอบครัวยังต้องใช้ ) เพื่อให้แน่ใจว่าหากจากไปกะทันหัน ภาระค่าใช้จ่ายที่ดูแลอยู่ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือธุรกิจ จะสามารถดำเนินต่อไปได้โดยไม่สะดุดและไม่เดือดร้อนยิ่ง ด้วยสภาวะเงินเฟ้อ ส่งผลให้ค่ารักษาพยาบาลเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ดังนั้น ควรทำประกันสุขภาพ ดังนี้

*ค่าคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลแบบเหมาจ่าย ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาล ต่อรอบปีกรมธรรม์ แต่เบี้ยประกันก็จะค่อนข้างสูง ที่สุด เมื่อเทียบกับแบบประกันค่ารักษาแบบ package

* ค่ารักษาพยาบาลแบบ package (New Health Standard) คุ้มครองครอบคลุมค่ารักษาพยาบาล ทั้งผู้ป่วยใน (IPD) และผู้ป่วยนอก (OPD)***** คุ้มค่า แบบนี้เบี้ยประกันก็จะสูงกว่า ค่ารักษาแบบไม่มีOPD

* โรคร้ายแรง ซึ่งเมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคร้ายแรงก็จะได้รับเงินก้อนช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัวในด้านอื่นๆด้วย เพราะคนที่ป่วยเป็นโรคร้ายมักจะไม่สามารถทำงานได้เหมือนเดิม และเพิ่มเติมด้วยค่าใช้จ่ายที่มากขึ้นหากต้องรับประทานอาหารเสริม เพื่อช่วยให้อาการเจ็บป่วยทุเลาลง ยิ่งถ้ามีค่าผ่อนต่าง ๆ ยังคงค้างอยู่ไม่ว่าจะผ่อนบ้านผ่อนรถหรือแม้แต่ค่าเล่าเรียนลูกเงินก้อนที่ได้หลักล้านหรือหลายล้านบาท  ก็อาจจะช่วยทดแทนแหล่งรายได้เดิมที่ตนเองไม่สามารถจะทำต่อได้ การเตรียมความพร้อม ทั้งประกันชีวิตและประกันสุขภาพจะทำให้การเงินของครอบครัวไม่สะดุด เป้าหมายชีวิตที่วางไว้ยังสามารถไปต่อได้ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันสิ่งที่หนักก็จะกลายเป็นเบาและที่สำคัญในระหว่างที่ได้วางแผนชีวิตเราจะเกิดความสงบสุขทางใจ ว่าตลอดเส้นทางของการดำเนินชีวิตที่ได้เตรียมแผนรองรับไปแล้ว

Credit :สมาคมนักวางแผนการเงินไทย